ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทางเรียบ

๑๓ เม.ย. ๒๕๖๗

ทางเรียบ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่).หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม เรื่อง กำหนดสติในชีวิตประจำวัน

การกำหนดสติในชีวิตประจำวัน เช่น ก้าวเท้าเดินก็กำหนดรู้ตามซ้ายขวาของเท้าที่ก้าว ดูกายเคลื่อนไหว เมื่อไม่ได้เดินก็บริกรรมหายใจเข้าภาวนาพุท หายใจออกภาวนาโธ เมื่อทำไปเรื่อยๆ พอนอนจะเคลิ้มหลับแล้วมีความคิดปรุงเเต่งยังไม่เป็นเรื่องเป็นราว ใจมันบอกว่ามันคิดฟุ้งซ่าน

ใจที่บอกเตือนขณะใกล้หลับก็สติอ่อน คืออะไร การกำหนดรู้ขณะเดินและบริกรรมดังที่กล่าวมาควรทำต่อไปเช่นเดิมหรือไม่เจ้าคะ จะเป็นโรคจิตหลอนไหมคะ

ตอบ ถ้ามันจะเป็นโรคจิตหลอนไหมคะ ต้องไปโรงพยาบาล ไปหาหมอให้หมอเช็กเลย ไปหาจิตแพทย์ เพราะว่าเวลาตอนนี้ ๓๐ เปอร์เซ็นต์เป็นซึมเศร้า จิตเภทมากมายมหาศาล แต่จะเป็นมากเป็นน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น คนที่เป็นปกติเป็นธรรมดาเวลาภาวนาแล้วไม่วิตกวิจารณ์ ภาวนาแล้วมันจะมีความสงบระงับเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

คนที่มีความผิดปกติทางหัวใจเป็นโรคจิตอ่อนๆ โดยที่เจ้าตัวก็รู้อยู่ แต่ไม่มีใครวินิจฉัยและไม่มีใครให้ยา ถ้ามันจะเป็นจิตหลอนหรือไม่ควรไปหาแพทย์ จิตแพทย์ แล้วไปให้เขาตรวจ ตรวจแล้วปรึกษากับเขา แล้วถ้าจะกลับมาฝึกหัดภาวนาแล้วค่อยกลับมาฝึกหัดภาวนา

ถ้าฝึกหัดภาวนาไปพร้อมกับว่าจิตนี้มันผิดปกติ แล้วภาวนาไปแล้วเวลามันมีอาการที่ไปรู้ไปเห็นสิ่งต่างๆ ก็คิดว่ามันเป็นวิปัสสนาๆ

มีลูกศิษย์มากมาย เมื่อก่อนมาหาเรา เวลาแก้นะ จิตจะเป็นอย่างนั้นๆ เราก็แก้ไปเรื่อย

ดิฉันกินยาอยู่ค่ะ

อย่างนั้นหยุดหมด พุทโธอย่างเดียว พุทโธๆ พุทโธให้จิตมันสงบเข้ามา เราต้องการความสงบ เราต้องการการมีกำลังเท่านั้น แล้วถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา มันจะกลับมาเป็นปกติ

จิตที่ผิดปกติ จิตที่มีอาการ เวลาภาวนา ภาวนาได้ ภาวนาเป็นสมถกรรมฐานคือความสงบสุขของใจเท่านั้น แต่มันเป็นไปได้ยาก

เพราะเวลาคนที่เป็นปกติ จริตนิสัยของคนมันแตกต่าง มันยังจะเอาความสงบได้ยาก แล้วถ้าจิตมันเป็นปกติ จิตที่มันเป็นปกติแล้วไม่มีกำลัง กิเลสมันพลิกมันแพลง มันชักลากไปก็ทุกข์ยากพอสมควรอยู่แล้ว

ถ้าจิตมันผิดปกติอีกด้วย คือจิตมันบกพร่องแล้วมากำหนดพุทโธๆ มันไปรู้ไปเห็นร้อยแปดพันเก้า แล้วร้อยแปดพันเก้า เวลาเป็นสัญญาอารมณ์ เป็นภาษาพูด วิปัสสนาๆ” แล้ววิปัสสนาไปๆ ทำไมมันเสียหายไปหมดล่ะ

ฉะนั้นว่า มันจะเป็นจิตหลอนหรือไม่เจ้าคะ” ถ้ามันจะเป็นจิตหลอน เห็นไหม

เพราะมันเกี่ยวโยงกับทะลุสามโลกธาตุไง จะทะลุสามโลกธาตุ มันไปพลิกคว่ำอวิชชา มันเป็นสังโยชน์ ๑๐ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มันเป็นสังโยชน์เบื้องบน สังโยชน์เบื้องบนที่คนไม่เคยภาวนาหรือภาวนาแล้วไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เพราะถ้าจะรู้จะเห็นมันจะต้องถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ บุคคลคู่ที่ ๔ เป็นความมหัศจรรย์ นี่ก็จะทะลุสามโลกธาตุ

ทะลุสามโลกธาตุ ถ้ามันทะลุ มันเป็นข้อเท็จจริง เวลาจิตมันเป็นปกติมีสัมมาสมาธิ เป็นมหาสติ มหาปัญญา เป็นปัญญาญาณอันลึกซึ้งเข้าไปชำระล้างไปขุดคุ้ยค้นคว้าจนเห็นเจ้าวัฏจักรคือตัวอวิชชา

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราฯ อิทปฺปจฺจยตาฯ ความนอนเนื่องของกิเลส ของสมุทัยที่มันนอนเนื่องไปในกิเลสในหัวใจ ถ้าจะทะลุสามโลกธาตุ มันจะไปทะลุสามโลกธาตุที่นู่น

ไอ้นี่เริ่มต้นปฏิบัติ มันจะเป็นจิตหลอนหรือไม่เจ้าคะ

ถ้ามันจะเป็นจิตหลอนนะ โดยความเป็นคุณประโยชน์กับเรา แวะไปหาจิตแพทย์ เราให้จิตแพทย์พิสูจน์ตรวจสอบ แล้วถ้าเป็นปกติแล้วเราค่อยกลับมาภาวนา

จะซ้ายหนอขวาหนอ อะไรก็แล้วแต่ ในการประพฤติปฏิบัติ แนวทางการปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติหลากหลายนัก แล้วเวลาปฏิบัติแล้ว ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ถ้ามันรู้ รู้จำเพาะตน เห็นไหม แล้วเวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาแล้ว กาลามสูตร อย่าเชื่อ ห้ามเชื่อใครทั้งสิ้น เอาหัวใจนี้

ทีนี้เวลาพูด ผู้ที่ปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติเอง จิตหลอน เราเห็นเยอะนะ เวลาถ้ามันผิดปกติ แล้วถ้าเริ่มต้นแล้วคิดว่ามันเป็นวิปัสสนา คือกิเลสมันซ้อน พอกิเลสมันซ้ำซ้อน อุบัติเหตุซ้ำซ้อนน่ะ อุบัติเหตุก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว อุบัติเหตุซ้ำซ้อนมันทุกข์มันยาก

ไอ้นี่เราจะแก้กิเลสของเราโดยซึ่งๆ หน้าโดยความเป็นจริง แล้วมันยังมีปัญหากิเลสซ้ำซ้อนอย่างนี้ แล้วแวะไปหาหมอ จบ ไปหาหมอ ให้หมอเช็กเลย

แล้วเวลามาประพฤติปฏิบัติมันเป็นข้อเท็จจริง ไม่ต้องว่าทะลุสามโลกธาตุ มันเหนือโลก มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกยาวไกล แค่สัมมาสมาธิพื้นฐานยังทำกันไม่ได้

สัมมาสมาธิพื้นฐาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ คือสัตว์โลก คือสัตตะผู้ข้องนั้น แล้วไม่มีสัจจะไม่มีความจริง ไม่มีสมถกรรมฐานเป็นที่ตั้งแห่งการงาน งานเริ่มต้นจากบุคคลคู่ที่ ๑ นะ นี้แค่ฝึกหัดปฏิบัติเริ่มต้นเท่านั้น ถ้ามันจะถูกต้องชอบธรรม

ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ทำความสงบของใจเข้ามาก่อนๆ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งคือภวาสวะ คือภพ คือจิตดวงนั้น คือชีวิตนั้น แล้วภาวนาไป บุคคล ๔ คู่ยังอีกยาวไกล

พื้นฐานเริ่มต้นถ้ามันถูกนะ ต้นตรงแล้วมันจะก้าวหน้าไปเจริญงอกงาม

ต้นคด ต้นแส่ส่าย ต้นสะเพร่า ต้นจิตเภท ต้นซึมเศร้า มันจะเป็นจิตหลอนหรือไม่เจ้าคะ

ไปหาหมอ จบ

ถาม เรื่อง ปัญญาอบรมสมาธิหรือสมาธิอบรมปัญญา

กราบนมัสการหลวงพ่อ ระหว่างที่ท่านศึกษาธรรมะอยู่กับพระอาจารย์จวน หลวงตาพระมหาบัว และหลวงปู่เจี๊ยะนั้น ท่านเน้นภาวนาในรูปแบบไหน ปัญญาอบรมสมาธิหรือสมาธิอบรมปัญญา และใช้สติปัฏฐาน ๔ ข้อใดเป็นหลัก (กาย เวทนา จิต ธรรมขอความเมตตาเพื่อเป็นวิทยาทานครับ

ตอบ แล้ววิทยาทานใครล่ะ มันเป็นเรื่องการภาวนาคือเรื่องการภาวนา

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ท่านอยู่กับพระอาจารย์จวน พระมหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะ

นั้นมันก็เป็นสายบุญสายกรรม มันเป็นอำนาจวาสนา เพราะอะไร เพราะเวลาเราก็เที่ยวธุดงค์มาทั่วเหมือนกัน แต่ไปอยู่กับใครแล้วนะ ไปไหนมา สามวาสองศอก พูดอะไรแล้วมันพร่ำเพ้อ พร่ำเพรื่อ ไม่มีจุดยืน

เวลาเราไปเจอหลวงปู่จวนท่านพูดเนื้อๆ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ชัดๆ

แล้วคนภาวนาเป็นเขาเห็นช่องทางหมด เขารู้ถึงอาการของจิต รู้ถึงวิธีการทั้งสิ้น รู้ถึงมารยาสาไถยเล่ห์กลของกิเลสที่มันจะปลิ้นมันจะปล้อนน่ะ แล้วท่านปิดหมดเลย พอมันปิดแล้ว เวลาผู้ที่ปฏิบัติ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์น่ะ เวลาแก้ไข หลวงปู่มั่นแก้จิตๆ นี่ไง

หลวงปู่มั่นท่านเป็นห่วงหลวงปู่จวนเพราะอะไร เพราะท่านรู้ว่ามีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนาแล้วจิตมันคึกมันคะนอง มันต้องมีครูบาอาจารย์ที่ควบคุมดูแลได้ ถึงได้ฝากหลวงปู่จวนไว้กับหลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวเป็นพระอรหันต์

หลวงตาพระมหาบัวท่านควบคุมดูแลเอง หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่มั่นอบรมบ่มเพาะมา นี่ไง มันมีสาแหรก มันมีรากเหง้า มันมีที่มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีพุทธะ มันมีพระรัตนตรัย มันมีข้อวัตรปฏิบัติ มันเป็นผู้วางข้อวัตรปฏิบัติในวงกรรมฐาน เป็นครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ดีงามในทางธรรม

แต่ในทางโลก เวลาว่าหลวงปู่มั่นๆ ถ้าทางโลกเหมือนผ้าขี้ริ้ว ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่มีสิ่งใดทางโลกเชิดชูบูชาเลย แต่ในวงกรรมฐานที่ต้องการทำตามเชิดชูบูชาท่านมาก

ถ้าในทางโลกเหมือนเศษผ้าขี้ริ้ว ไม่มีคุณค่าทางโลกเลย

แต่ในทางธรรม เศรษฐีธรรม กองทัพธรรม ลูกศิษย์ที่ท่านผลิตมา หลวงปู่จวน หลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะ

แล้วมันรูปแบบไหนเจ้าคะ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิหรือเป็นสมาธิอบรมปัญญา

ปัญญาอบรมสมาธิ เริ่มต้นมาจากหลวงตาพระมหาบัวท่านเขียนไว้เลย ปัญญาอบรมสมาธิ เพราะเวลาท่านปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติที่จิตมันกว้างขวางขึ้น มันพัฒนาขึ้น

ใบไม้ในกำมือคือตู้พระไตรปิฎก ใบไม้ในป่าคือป่าทั้งป่า คือโลกทั้งใบ คือสัจธรรมทั้งนั้น ฉะนั้น เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านถึงได้เทศน์เรื่องปัญญาอบรมสมาธิ

ฉะนั้น เวลาปัญญาอบรมสมาธิมันใช้ปัญญาๆ ไง แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านก็ใช้ปัญญาของท่าน แต่ท่านใช้ว่าดูจิตๆ ดูก็ดูนั่นแหละ แต่ดูด้วยปัญญา

ทีนี้พอมันพูดไปแล้ว เวลาคนปฏิบัติไปมันแถออกหมดเลย มันไปตามกิเลสเพราะอะไร เพราะกิเลสมันชักจูง มันจูงไปไง มันถึงได้ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ไง ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์คือไม่มีขอบระหว่างทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ มันไม่เข้าอริยสัจไง มันไปเข้ากับพญามาร มันไปเข้ากับความพอใจของตน มันก็อีลุ่ยฉุยแฉกไปไง

ฉะนั้นว่า ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา เป็นอย่างไร

ปัญญาอบรมสมาธิมันก็แบบว่าเป็นปัญญาวิมุตติ สมาธิอบรมปัญญาเป็นเจโตวิมุตติ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ ถ้าส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นเจโตวิมุตติ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่ขาว ครูบาอาจารย์ต่างๆ นี่คือเจโตวิมุตติ คือเอาสมาธินำ

แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ หลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่ดูลย์ นี่ปัญญาวิมุตติ ปัญญาวิมุตติเอาปัญญานำ เวลาปฏิบัติไปแล้วใช้ปัญญาตัดไปเรื่อย ปัญญาพิจารณาไปเรื่อย มันก็ปล่อยไปเรื่อยๆ เวลามันหยุด หยุดคิด หยุดคิดนั่นคือสมาธิ

คิดเท่าไรก็ไม่รู้หรอก ต้องหยุดคิด แต่ก็ต้องใช้ความคิด นี่ไง เพราะมันใช้ปัญญา คนถ้าปัญญาๆ มันมีหลัก มันมีหลักมีเกณฑ์ มีความถูกต้องชอบธรรม มันเป็นของมันไปตามธรรมชาติของมัน

ฉะนั้นบอกว่า เวลาหลวงพ่อไปอยู่กับหลวงปู่จวน อยู่กับหลวงตาพระมหาบัว อยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ เป็นปัญญาอบรมสมาธิหรือเป็นสมาธิอบรมปัญญา พูดไว้เป็นวิทยาทาน

ชาวประมงเขาออกประมงของเขา นั่นเขาหาสัตว์น้ำ สิ่งที่ว่าคนที่ทำไร่ไถนาเขาก็ทำไร่ไถนาอยู่บนพื้นดินบนบกของเขา มันเป็นอาชีพ แล้วชาวประมงเขาออกเรือเพื่อหาสัตว์น้ำเพื่อเป็นอาหารของเขา เวลาเขาขึ้นฝั่งเขาก็ไปทำนาด้วย เพราะเขาก็อยากมีข้าวในยุ้งในฉางให้ข้าวเต็มในข้าวของเขา

เขาก็เป็นชาวประมงก็ได้ เขาก็เป็นชาวนาก็ได้ ในบุคคลคนเดียวเป็นทั้งชาวนา เป็นทั้งชาวประมง แล้วแต่จังหวะและโอกาสที่ฤดูกาลที่จะทำไร่ไถนาหรือจะเป็นชาวประมง

นี่ก็เหมือนกัน หลวงพ่อใช้ปัญญาอบรมสมาธิหรือสมาธิอบรมปัญญา แล้วมันเป็นรูปแบบแบบใด แล้วพวกผมจะได้จดจำไป

หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์นะ ท่านบอก อะไรที่มันเป็นความสำคัญๆ น่ะข้ามไป

อันนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นมันจะรู้ได้ต่อเมื่อแก้จิตๆ เวลาเกิดอุปสรรค เวลาลูกศิษย์ลูกหาติดขัดนี่รู้ไหม เวลาเทศนาว่าการ เวลาครูบาอาจารย์ท่านมีธรรมๆ คนฉลาดแกล้งโง่มันดูแล้วมันสวยงาม

ไอ้คนโง่อวดฉลาดนี่จบครับ เพราะมันเปิ่นตลอด มันปล่อยไก่ตลอด มันพูดผิดตลอด แต่ถ้าคนฉลาดแกล้งโง่นี่ จะโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างไรนะ มันก็เป็นคนฉลาด มันทำอย่างไรมันก็ฉลาด ไอ้คนโง่อวดฉลาดจบหมดน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันจะเป็นจริงเป็นจังของมันขึ้นมา

ฉะนั้นถึงว่า เวลาหลวงปู่จวนท่านก็เป็นพระอรหันต์ หลวงตาพระมหาบัวท่านก็เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็เป็นพระอรหันต์ เราไปศึกษาเราไปค้นคว้า เราเป็นลูกศิษย์ลูกหา

นี่เวลาอยู่กับท่าน อยู่กับหลวงตาพระมหาบัวบนศาลา ถ้าตั้งแต่สร้างวัดบ้านตาดมา ไอ้คนที่จะโดนด่ามากที่สุด เราว่าไม่น่าจะเกินเรา ด่าเช้ากลางวันเย็น ด่าทุกวันน่ะ คนที่อยู่ในสมัยเดียวกัน รุ่นเดียวกันจะเห็นหมดทุกวัน

อันนั้นน่ะถ้าเป็นทางโลกมันก็มอง โอ้โฮจนมีพระถาม หงบ เฮ้ยมึงทำอะไรผิดวะ โดนด่าแล้วโดนด่าอีก

เราพูดไปมันก็ไม่มีใครรู้และไม่มีใครเข้าใจ

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน บอกมาเป็นวิทยาทาน เป็นวิทยาทานขนาดไหนมันก็เป็นดาบสองคม

นี่ไง เวลาเขาบอกว่า โอ๋ยโดนด่าเช้ากลางวันเย็นแล้วโดนด่าติดต่อต่อเนื่อง เฮ้ยเอ็งอยู่ได้อย่างไรวะ

แต่ในใจเรานะ นี่แหละจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง นี่แหละดาบอาญาสิทธิ์ ให้ดาบอาญาสิทธิ์ทุกวันเลย ฟาดฟันกิเลสในใจน่ะ ไอ้เรา เราคิดอย่างนี้ แต่พูดออกไปใครจะเชื่อ พูดออกไปใครจะยอมรับ

พูดอะไรก็ยกย่องตัวเอง ยกก้นลอยทุกวัน คนอื่นเลวหมด ตัวเองถูกอยู่คนเดียว

แต่ถ้ามันกำลังสู้กับกิเลสนั่นน่ะ คนเราล้มลุกคลุกคลาน อดอาหาร อดนอน ๒๔ ชั่วโมง ภาวนา ทางสมณะทางกว้างขวาง เราทั้งอดนอนทั้งอดอาหาร ๒๔ ชั่วโมงครับ ภาวนาทั้งวันทั้งคืนครับ แล้วเวลาขึ้นไปบนศาลาอย่างนี้ โอ๋ยท่านใส่เปรี้ยงๆ นั่นคืออะไรครับ

เวลามันรู้กันระหว่างเรากับท่านเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว คนอื่นเห็น เห็นไหม นี่ไง หลวงปู่มั่นไง ถ้าทางโลกเหมือนกับผ้าขี้ริ้ว ถ้าทางธรรม เศรษฐีธรรม

นี้ทางโลกก็เศษคน คนอะไรเลวทรามต่ำช้ามาก โดนด่าทั้งเช้ากลางวันเย็น ด่าซ้ำด่าซาก ด่าอยู่ตลอดเวลา นี่ทางโลกที่คนเขาเห็น

ทางธรรมระหว่างเรากับท่านเท่านั้น นี่แหละดาบอาญาสิทธิ์ นี่แหละจะเท่าทันกิเลสในใจตน เพราะ ๒๔ ชั่วโมงอยู่ในทางจงกรมช่วยตัวเองไม่ได้ ขึ้นมาท่านก็มอบอาวุธเลย

ที่ท่านพูดไง เรามีนิวเคลียร์นิวตรอนอยู่ในย่ามนะ ไปไหนไม่เคยใช้เลย เพราะไม่มีใครรู้จักมัน ไม่มีใครต้องการไง

แต่เวลาเราอยู่บ้านตาด ทั้งนิวเคลียร์นิวตรอนทิ้งบอมบ์ๆ เรากับท่านเท่านั้น นิวเคลียร์นิวตรอนบอมบ์ๆ อยู่นั่นน่ะ นี่อยู่ที่ผู้ที่ทำได้ ผู้ที่ทำได้ก็คือทำได้ ฉะนั้น เวลาที่เป็นข้อเท็จจริงระหว่างบุคคล

นี่เหมือนกัน จะเป็นวิทยาทาน วิทยาทานของใคร ใครภาวนาได้อย่างนี้ ใครมีหลักมีเกณฑ์บ้าง ถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์เลยนะ มันก็ทางโลกไง เศษคน ไร้สาระ ไม่มีคุณค่า มองข้ามหมด

แต่คนที่เป็นสาระนั่นน่ะนิวเคลียร์นิวตรอน ท่านพูดไง ในย่ามมีนิวเคลียร์นิวตรอนตลอดเวลา มันไม่มีใครสนใจ มันไม่มีใครต้องการใช้

ไอ้สำหรับเราท่านทิ้งใส่ตูมๆๆ เลยล่ะ นั่นน่ะเวลาแก้จิต นั่นน่ะวัดปฏิบัติที่เราอยู่กับหลวงปู่จวน หลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะ นั่งกันต่อหน้าๆ ซัดกันทั้งคืน สมาธิเป็นอย่างไร ใส่กันทั้งคืนน่ะ

เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงมันมีใครกล้าสู้หน้าบ้างล่ะ หนีทั้งนั้น แอบหลบทั้งนั้น แต่อ้างว่าเป็นลูกศิษย์ๆ เอาแบรนด์ของท่านไปขาย

ไอ้เรานี่ซึ่งๆ หน้าน่ะ บอมบ์ๆ ตลอดเวลา นั่นน่ะข้อเท็จจริง จบ

ถาม เรื่อง เมตตาขอความกระจ่าง

กราบเรียนหลวงพ่ออย่างสูง โยมได้ฟังหลวงพ่อเทศน์บ่อยว่า จับตัวเหี้ยนั้น โยมไม่กระจ่าง

เมตตาหลวงพ่ออธิบายแนวทางปฏิบัติให้กระจ่างว่า วิธีจับอย่างไรเจ้าคะ

ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ มันงงค่ะหลวงพ่อ เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ

หลวงพ่อเมตตาให้ความกระจ่างด้วยเจ้าค่ะ

ตอบ เหมือนกัน ความเห็นของโลกไง นี่ไง เวลาฟังเทศน์หลวงพ่อ ให้จับเหี้ยตัวนั้นๆ

เหี้ยตัวนั้นคืออวิชชา มันอยู่ในพระไตรปิฎก

เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติมา ถ้าใจมันเป็นธรรมเวลามันอ่านพระไตรปิฎกหรือศึกษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันชัดมันเจนของมันไง ถ้ามันชัดมันเจนของมันแล้วตัวเองทำได้อย่างนั้นด้วยไง

เวลาคนทำนาๆ เวลากรมวิชาการเขามาสอนวิธีการทำนาน่ะชื่นใจมาก แต่เขาทำนาเป็นของเขาอยู่แล้ว เขาถึงว่าควรจะทำอย่างไรๆ

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาที่ว่า สิ่งที่ว่าจับเหี้ยตัวนั้น เหี้ยตัวนั้นน่ะ เวลาชาวนาที่มันไถนาๆ อยู่นั่นน่ะ มันเห็นแย้ เห็นพวกศัตรูพืชร้อยแปดพันเก้า แล้วถ้ามันแก้ไขของมัน ไร่นานั้นจะอุดมสมบูรณ์

นี่เวลาผู้ที่ปฏิบัติๆ ไง เวลาเห็นอวิชชาไง เวลาเห็นกิเลส ครอบครัวกิเลสนะ มันเห็นเหี้ยตัวนั้นไง ถ้าเหี้ยตัวนั้นมันก็เป็นความเห็นส่วนตัวไง แต่เวลาไปอ่านพระไตรปิฎกน่ะ มันอยู่ในพระไตรปิฎก โปฐิละใบลานเปล่าๆ มันชัดเจน

นี่เวลาศึกษามา ศึกษามาด้วยใบลานเปล่าๆ เวลาจะไปปฏิบัติสำนักปฏิบัติธรรมกถึก ไปถึงอาจารย์ อาจารย์เป็นพระอรหันต์บอกว่าไม่มีวาสนา เพราะอะไร เพราะว่าอยู่ในป่าในเขาไม่มีชื่อเสียงไง ไอ้คนที่ลูกศิษย์ลูกหา ๕๐๐ ไปไหนลูกศิษย์ล้อมหน้าล้อมหลังเลย ใบลานเปล่าๆ ไง

เวลาหัวหน้าพระอรหันต์บอกว่าไม่มีอำนาจวาสนาก็ส่งต่อมา พระอรหันต์ทั้งหมดเลยนะ ไปจนสามเณรน้อยก็เป็นพระอรหันต์น่ะ

พระอรหันต์นะ สติสมบูรณ์เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ แม้แต่เจ้าอาวาสเป็นพระอรหันต์ สามเณรน้อยพระอรหันต์ก็มีสติมีปัญญาเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน

ฉะนั้น เวลาสามเณรน้อยจะเป็นอาจารย์สอน นี่ไง ก็ลดทิฏฐิมานะ เสร็จแล้วก็บอกเลย ร่างกายนี้เหมือนจอมปลวก ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดใจไว้ จับเหี้ยตัวนั้น

เราจะยืนยันว่ากิเลสมันมีอยู่จริง แล้วคนที่ปฏิบัติมันจับกิเลสได้จริงๆ แล้วถ้ามันจับกิเลสได้จริงๆ มันถึงจะประพฤติปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ จริง

ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่เขาจับเหี้ยตัวนั้นได้จริงๆ

แต่พวกเราน่ะ ทุกคนมีอวิชชา มีพญามาร มีเหี้ย เหี้ยนี่นะมันกินแต่ของอาหารของมันพวกของเสีย เวลามันขับมันถ่ายเหม็นคลุ้งไปทั่ว ที่ไหนมีเหี้ย แหล่งน้ำจะเสีย แหล่งน้ำจะเป็นน้ำเน่าไปหมดน่ะ เพราะอะไร เพราะการขับถ่ายความอยู่ของมัน

แต่ไอ้นี่มันอยู่กลางหัวใจของเรานี่ เฮ้ยมึงไม่รู้จักมันเลยหรือวะ เหี้ยมันอยู่กลางหัวใจนี้ มึงไม่รู้ไม่เห็นมันเลยหรือวะ แล้วมึงปฏิบัตินี่มึงบอกว่ามึงบรรลุธรรมๆ มึงไม่รู้จักเหี้ยเลยหรือวะ

นี่ที่ยืนยัน ยืนยันอย่างนี้ ยืนยันว่าปฏิบัติ ชาวไร่ชาวนาที่เขาทำของเขา วัชพืชต่างๆ เขารู้ของเขา เขาเห็นของเขา นาแล้ง น้ำท่วม เขารู้ของเขา เขาแก้ไขของเขา เขาถึงเป็นชาวนาที่มีประสบการณ์

แล้วเวลากรมวิชาการ คือพระไตรปิฎกยืนยันมาไง เรายืนยันเรื่องเหี้ยตัวนั้น เรื่องจิตเป็นวัตถุ สิ่งใดๆ เป็นวัตถุ ถ้าจับต้องได้ เวลาหลานพระสารีบุตรไง ที่ถ้ำเขาคิชฌกูฏ ถ้ำที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำพรรษาน่ะ เวลาไปต่อว่าๆ นะ

ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ของเธอด้วย เพราะอารมณ์ของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง

มันจับได้ นี่มันจับได้ไง

นี่พูดถึงว่า โยมฟังหลวงพ่อเทศน์ว่าจับเหี้ยตัวนั้นน่ะ โยมไม่กระจ่าง

มันจะไปกระจ่างอะไร เหี้ยมันก็อยู่ในสวนลุมฯ ไง เหี้ยมันก็อยู่ในแม่น้ำลำคลองนู่น เหี้ยในใจใครจะไปรู้ไปเห็นมันไง

นี่พูดถึงว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมตตาหลวงพ่ออธิบายวิธีการให้กระจ่าง วิธีจับอย่างไรเจ้าคะ

วิธีจับ จิตเห็นจิตเป็นมรรค นี่คือจับได้ หลวงปู่ดูลย์ท่านยืนยันไง

เห็นไหม ชาวนากับชาวนาด้วยกันเขาเห็นเขารู้ แค่กิริยาเคลื่อนไหวก็รู้ว่าทำนาเป็นไม่เป็น แค่จับเครื่องมือก็รู้แล้ว จับคันไถจับเป็นหรือเปล่า ควายมึงน่ะผูกเข้าแอกถูกไหม ควายมึงน่ะเดินเป็นไหม

เหมือนกัน นี่ไง จิตเห็นจิตเป็นมรรค แล้วจะเห็นอย่างไรล่ะ

นี่วิธีจับไง วิธีจับมันสรุปโดยโศลกธรรมของหลวงปู่ดูลย์

ความคิดทั้งหลายเป็นสมุทัย ผลของมันคือทุกข์ จิตเห็นจิตเป็นมรรค ผลจากจิตเห็นจิตเป็นนิโรธ นี่อริยสัจของหลวงปู่ดูลย์

นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงๆ ชาวนาด้วยกัน ควายก็เลี้ยงมาด้วยกัน ไถคันไถก็ไถมาด้วยกัน เหมือนกัน ถ้าเป็นความจริงไง

วิธีจับ วิธีจับหลากหลายมาก ข้าวไร่ก็ได้ ข้าวนาปีนาปรัง ข้าวอายุสั้นอายุยาว เอาสิ ที่ลุ่มที่ดอน นาลุ่มนาดอน มันหลากหลายนักวิธีจับ จิตเห็นจิตเป็นมรรคนี่คือวิธีจับ

ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ งง เหมือนเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ

ก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอยู่แล้ว ถ้าเข้าใจจะถามทำไม ทุกข์ก็เป็นทุกข์ หลวงตาพระมหาบัวท่านพูด เป็นกับเป็นมันฟัง เห็นไหม เวลากิเลสมันขี้ใส่หัวใจไว้แล้วมันก็กลับไปนอนหลับ ไอ้เราเพิ่งรู้ว่าทุกข์ๆๆ

ทุกข์นี้มันวิบาก เศษทุกข์ไง ทุกข์ที่สมบูรณ์แล้ว ทุกข์ที่มีเชื้อ ทุกข์ที่มีเหตุ ปลุก ทำให้มันตื่นขึ้นมาแล้ว ทุกข์ที่เหตุมันสร้างให้สมบูรณ์แล้วเราค่อยรู้สึก เพราะเรารู้ที่อารมณ์ นี่ปุถุชน คนทั่วไปรู้อะไรไม่ได้หรอก รู้แต่อารมณ์ของตัวนี่ เครียด ทุกข์ฉิบหายเลย แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ไม่รู้หรอก

เกิดจากสมุทัยตัณหาความทะยานอยาก

นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติแล้ว ชัดๆ กว่ามันจะชัดๆ เพราะว่าได้จับได้ นี่ไง จิตเห็นจิตเป็นมรรค วิปัสสนามันแยกไง กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกจากกันหมดเลยเป็น ๓ ทวีป

หลวงตายืนยันว่าเป็น ๓ ทวีป กายเป็นทวีปหนึ่ง จิตเป็นทวีปหนึ่ง ทุกข์เป็นทวีปหนึ่ง แล้วมันจะกลับมาเข้ามาหากันอีกไม่ได้เลย ๓ ทวีปแยกออกจากกันเป็นอนันตกาลเพราะบรรลุธรรม มันรู้เห็นหมดน่ะ

ฉะนั้น โดยข้อเท็จจริงมันไม่เห็นมีอะไรแปลกประหลาดเลย มันเป็นธรรม ธรรมชาติ เป็นสัจธรรมที่มีอยู่แล้ว แล้วคนที่ปฏิบัติไม่รู้ไม่เห็นแล้วก็โง่บ้าเซ่อเพ้อเจ้อ

แต่ถ้าเป็นจริง ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ

ทุกข์ควรกำหนด สมุทัย ต้อง’ ละ

นิโรธ ขณะคือละ ดับทุกข์

ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ชัดเจน นี่คือผลของการปฏิบัติ จะเอาอะไรชัดเจนกว่านี้ จะเอาอะไรให้มันชัดเจน

ภาษาเรานะ ไอ้นี่มันเบสิก มันพื้นฐาน ไม่เห็นมีอะไรเลย นี่มันเป็นธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา ผู้ปฏิบัติมันเป็นธรรมดา ก็มันจริงๆ ของมันน่ะ แล้วมีอะไรอีก

แต่ไอ้คนไม่เป็นนะ ฟังแล้วเข้าใจ ทำแล้วเข้าใจ เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ จับไอ้เหี้ยตัวนั้นๆ ฟังแล้วเหมือนรู้...ไม่รู้

ไอ้ที่รู้ๆ รู้ทฤษฎีไง ๙ ประโยคไง รู้ธรรมะพระพุทธเจ้าไง แต่ไม่เคยปฏิบัติ ปฏิบัติไม่เป็น รู้ไม่ได้ จะเอาอะไรมารู้

ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จริงเห็นจริง แล้วคนจริงเขารู้จริงเป็นความจริงในหัวใจผู้นั้น จบ

ถาม เรื่อง น้ำไหลนิ่ง

นํ้าไหลนิ่งคือสมาธิ บรรลุธรรมคือนํ้าหยุดไหลหรือไหลทวนนํ้าคะ

ตอบ วันนี้ปริศนาธรรมทั้งนั้นเลยนะ มีแต่นักธรรมะ ธรรมะฝ่ายปฏิบัติเสียด้วย ไม่ใช่ธรรมะลุ่มๆ ดอนๆ นะ นี่ธรรมะฝ่ายปฏิบัติเลยล่ะ

น้ำนิ่งแต่ไหล น้ำนิ่งคือสมาธิ

เออใช่ น้ำนิ่งคือสมาธิ

บรรลุธรรมคือนํ้าหยุดไหลหรือไหลทวนกระแส

ไร้สาระ ถ้าบรรลุธรรมน้ำไหลมันก็ยังมีไหลอยู่ไง แล้วบรรลุธรรมอย่างไรล่ะ บรรลุตรงไหนล่ะ บรรลุกิเลสมันขาดไปแล้วเอาอะไรมาไหล ไม่มีไหล ไม่มีทวนกระแส

ไอ้ทวนกระแสๆ นี้คือภาวนามยปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนาคือทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ภวาสวะ ภพ เข้าไปสู่จิตเดิมแท้ของแต่ละบุคคล

นี่ถ้าไหลออก ส่งออก ไหลเข้านั้นคือกิริยา คืออาการ คือการกระทำ กำลังมุมานะ แต่ถ้ามันจบแล้วจะมีอะไรไหลหรือไม่ไหล ไม่มี

น้ำไหลนิ่งคือสมาธิ บรรลุธรรมคือน้ำหยุดไหล

น้ำหยุดไหลก็น้ำเน่าไง น้ำนิ่งแล้วมันไหลเป็นสมาธิ แล้วเวลามันเสื่อมมันก็เป็นน้ำหยุดไง น้ำหยุดก็เป็นสมาธิเสื่อม สมาธิเสื่อมมันก็เป็นน้ำเน่า น้ำเน่ามันก็เป็นความทุกข์ น้ำเน่าแล้วมันก็จะทับถมหัวใจ บรรลุธรรม

มันเป็นปริศนาธรรม คือคิดเอาเองเออเอาเอง

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝ่ายมหายาน ปริศนาธรรมๆ เขาพูดให้คิด พูดให้ฝึกหัดใช้ปัญญา แล้วปัญญามันใช้เป็นหรือใช้ไม่เป็น แล้วปัญญาที่ใช้ปัญญาของกิเลสทั้งนั้น แล้วถ้าใช้ปัญญา ปัญญาของกิเลสทั้งนั้น ถ้ามีสติมันจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิไง เห็นไหม จะกลับมาที่ปัญญาอบรมสมาธิแล้ว ถ้ามีสติมีปัญญา

ฉะนั้น น้ำนิ่งแต่ไหล น้ำหยุดไหลคือทวนกระแส น้ำหยุดไหลคือบรรลุธรรม

คิด คิดวิปัสสนา ใช้สติ มันเป็นไปได้จริงไหม มีน้ำอะไรหยุดไหล มีน้ำอะไรทวนกระแส มีมาจากไหน สติ มหาสติเป็นอย่างไร

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าฟังธรรมแล้วมันไปวิเคราะห์วิจัย พอฟังแล้วมันก็เอาไปขยายความ นี่ถ้ามันเป็นปริศนาธรรม มันดีอย่างเดียวเท่านั้นน่ะ มันดีที่ว่า แสดงธรรมแล้วมันมีคนเก็บไปคิด ไปขบไปคิด ไปขยายความ ไปวิเคราะห์วิจัย นี่เป็นประโยชน์ตรงนี้ เราเห็นประโยชน์ตรงนี้

แต่ถ้าเป็นว่ามันเป็นจริงไม่จริง...ไม่จริง ไม่จริงทั้งสิ้น

เวลามันเป็นจริง เอ๊อะเอ๊อะมันไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้ามันเป็นจริง เห็นไหม

น้ำไหลนิ่งคือสมาธิ บรรลุธรรมคือน้ำหยุดไหลหรือไหลทวนน้ำ

แล้วน้ำวนล่ะ น้ำวนมันคืออะไรล่ะ วังวนไง มันยังมีน้ำวนนะ มันยังมีน้ำดูดนะ น้ำวนแล้วมันก็ดูดนะ สะดือทะเลน่ะ สะดือทะเลมันดูดไปทั้งหมดเลยนะ ถ้ามันเป็นอวกาศก็เป็นหลุมดำไง น้ำหยุดไหลคือหลุมดำ มันดูดไปหมดเลยน่ะ แล้วถมไม่เต็มนะ มันจะเป็นหลุมดำ

นี่มันเป็นปริศนาธรรม นี่พูดถึงว่าคนที่ได้ยินแล้ววิเคราะห์วิจัยฝึกหัดมันก็เป็นโอกาสของคนเป็นชาวพุทธไง กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ฟังแล้วอย่าเชื่อ ถ้าเชื่อแล้วนะง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่เป็นอิสรภาพได้ อย่าเชื่อ คิด วิเคราะห์ วิจัย แล้วหาหนทางของตน ถ้าสติปัญญายังไม่เท่าทันมันรู้รอบไม่ได้

ความรู้รอบ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ เวลามรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ วิริยอุตสาหะด้วยความชอบธรรม ด้วยความชอบธรรมมันเห็นงานชอบ งานในอะไร งานในการขุดคุ้ยค้นคว้า งานในการวิปัสสนาแยกแยะ งานในการรู้แจ้ง งานอะไร วิปัสสนาไปมันถึงจะรู้

ไอ้นี่เดาน่ะ สันนิษฐาน ได้ไม่ได้ กูสันนิษฐานว่า กูสันนิษฐานเอาเลย

ฉะนั้น ฝึกหัด ฝึกหัดไปเรื่อยไม่เสียหาย ทำคุณงามความดีของเราไง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า น้ำนิ่งแต่ไหลคือสมาธิ...นี่ถูก

บรรลุธรรมน้ำไหลหรือทวนกระแส...ไม่มี

ถ้ามันยังไหลมีกระแสคือมันมีกิริยา มีการกระทำอยู่นี่มันเสร็จไม่ได้ งานเสร็จคือเสร็จจากงาน

น้ำนิ่งแต่ไหลเป็นสัมมาสมาธิ ยกขึ้นสู่วิปัสสนาคือวิธีการปฏิบัติในมรรค ๘ มรรคสามัคคีรวมลง นี่รวมลง ทุกอย่างจบสิ้น นิโรธดับหมด นั่นถึงจะเป็นธรรม เป็นธรรมไม่มีทวนกระแส ไม่มีไหล มีไหล มีทวนกระแส เป็นไปไม่ได้ มันถึงข้อเท็จจริงไง

ตามข้อเท็จจริง ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา เป็นสัจจะเป็นความจริง แต่เราคิดว่ามันวิเศษวิโสมหัศจรรย์ เพิ่มค่าโดยสติปัญญาของตน เก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสู้ไม่ได้นะ ปัญญาไม่เท่าเราอีกนะ...ไอ้บ้า เอวัง